เมนู

อรรถกถาชาดก


ปัญจกนิบาต


อรรถกถามณิกุณฑลวรรคที่ 1


อรรถกถามณิกุณฑลชาดกที่ 1


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
อำมาตย์ชั่วผู้จัดประโยชน์ทั้งปวง ในภายในพระราชวังของพระเจ้า-
โกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ชินฺโน รฏฺฐสฺส-
มณิภุณฺฑเล จ
ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ส่วนใน
ชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระเจ้าพาราณสี. อำมาตย์ชั่วนำพระเจ้า-
โกศลมายึดเอากาสิกรัฐ จองจำพระเจ้าพาราณสีใส่ไว้ในเรือนจำ.
พระเจ้าพาราณสีทำฌานให้เกิดขึ้นแล้วนั่งขัดสมาธิในอากาศ. ความ
เร่าร้อนเกิดขึ้นในร่างกายของราชาผู้เป็นโจร. พระราชาโจรนั้นเข้า
ไปหาพระเจ้าพาราณสี แล้วกล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
พระองค์ทรงละทิ้งแว่นแคว้น ม้า
กุณฑล แก้วมณี อนึ่ง ยังทรงละทิ้งราชบุตร
และเหล่าสนม เมื่อโภคสมบัติทั้งสิ้น ของ
พระองค์ไม่มีเหลือเลย เพราะเหตุไร พระองค์
จึงไม่ทรงเดือดร้อนในคราวเศร้าโศกเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชินฺโน รฏฺฐสฺสมณิกุณฺฑเล จ
ความว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงละทิ้งแว่นแคว้น ม้า และกุณฑล
แก้วมณีทั้งหลาย. บาลีว่า รถมณิภุณฺฑเล จ ดังนี้ก็มี. บทว่า
อเสสเกสุ แปลว่า ไม่เหลือเลย.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา 2 คาถานี้ว่า :-
โภคสมบัติย่อมละทิ้งสัตว์ไปเสียก่อน
ก็มี บางทีสัตว์ก็ละทิ้งโภคสมบัติเหล่านั้น
ไปก่อนก็มี ดูก่อนพระองค์ผู้ใคร่ในกาม
โภคสมบัติที่บริโภคกันอยู่เป็นของไม่แน่นอน
เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่เดือดร้อนใน
คราวที่ควรเศร้าโศก.
พระจันทร์อุทัยขึ้นเต็มดวง และจะหาย
ไป อนึ่ง พระอาทิตย์กำจัดความมืด ทำโลก
ให้เร่าร้อน แล้วอัสดงคตไป ฉันใด โภค-
สมบัติทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นและพินาศไป ฉัน
นั้น ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นศัตรู โลกธรรมทั้ง
หลายหม่อมฉันชนะแล้วเพราะฉะนั้น หม่อม
ฉันจึงไม่เศร้าโศกในคราวที่ควรเศร้าโศก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพว มจฺจํ ความว่า โภคะ
ทั้งหลายย่อมละสัตว์ไปในเบื้องต้น คือก่อนทีเดียวบ้าง สัตว์ย่อมละ
โภคะเหล่านั้นไปก่อนกว่าบ้าง. พระโพธิสัตว์เรียกพระราชาที่เป็นโจร
ปล้นราชสมบัติว่า กามกามิ. อธิบายว่า ดูก่อนพระองค์ผู้ใคร่กาม
ทั้งหลาย ชื่อว่ากามกามิ ธรรมดาคนผู้มีโภคสมบัติเป็นผู้ไม่แน่นอน
ในโลก คือ เมื่อโภคสมบัติทั้งหลายฉิบหายไปแล้ว ถึงจะมีชีวิตอยู่
ก็เป็นผู้ไม่มีโภคสมบัติ หรือตนละทิ้งโภคสมบัติฉิบหายไปเอง เพราะ
ฉะนั้นหม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก แม้ในคราวเศร้าโศกของมหาชน.
พระโพธิสัตว์เรียกราชาโจรด้วยคำว่า ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นศัตรู โลก-
ธรรมทั้งหลายหม่อมฉันชนะแล้ว ดังนี้. อธิบายว่า ดูก่อนพระองค์
ผู้เป็นศัตรู โลกธรรมทั้งหลายมีอาทิว่า มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อม
ยศ ดังนี้ หม่อมฉันชนะแล้ว เหมือนอย่างว่าพระจันทร์อุทัยขึ้น
เต็มดวง และกลับสิ้นไป ฉันใด และเหมือนพระอาทิตย์ขจัดความมืด
ทำภูมิภาคของโลกอันใหญ่โตให้ร้อน แล้วกลับถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ คือ
อัสดงคตไปไม่ปรากฏในตอนเย็น ฉันใด โภคสมบัติทั้งหลายก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมเกิดขึ้นและย่อมฉิบหายไป จะประโยชน์อะไร ด้วย
การเศร้าโศกในเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก.
พระมหาสัตว์แสดงธรรมแก่พระราชาผู้เป็นโจรอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะติเตียนพระราชาโจรนั้นนั่นแหละ จึงกล่าวว่า :-

คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม เกียจคร้านไม่ดี
บรรพชิตไม่สำรวม ไม่ดี พระราชาไม่ทรง
ใคร่ครวญแล้วกระทำ ไม่ดี การเป็นบัณฑิต
ขี้โกรธก็ไม่ดี.
ท่านผู้เป็นใหญ่ในทิศ กษัตริย์พึงใคร่
ครวญก่อนแล้วจึงกระทำ ยังมิได้ใคร่ครวญ
แล้วไม่ควรทำ ยศและเกียรติย่อมเจริญแก่
พระราชาผู้ทรงใคร่ครวญเเล้วทำ.

ก็คาถาทั้งสองนี้ ได้พรรณาให้พิสดารในหนหลังแล้วแล.
พระราชาโจรขอษมาพระโพธิสัตว์แล้ว มอบราชสมบัติให้ทรง
รับไว้แล้ว เสด็จไปยังชนบทของพระองค์เอง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
ประชุมชาดกว่า พระเจ้าโกศลในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนพระเจ้าพาราณสี ในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามณิกุณฑลชาดกที่ 1

2. สุชาตชาดก


ว่าด้วยคำคมของคนฉลาด


[707] เหตุไรหนอ เจ้าจึงเป็นเหมือนรีบด่วน
เกี่ยวเอาหญ้าอันเขียวสดมาแล้ว บ่นเพ้อถึง
วัวแก่ผู้ปราศจากชีวิตแล้วว่า จงเคี้ยวกินเสีย
วัวที่ตายแล้วจะพึงลุกขึ้นได้เพราะหญ้าและ
น้ำเป็นไม่มีแน่ เจ้าบ่นเพ้อไปเปล่า ๆ เหมือน
คนผู้ไร้ความคิด ฉะนั้น.
[708] ศีรษะ เท้าหน้า เท้าหลัง หางและหู
ของวัว ก็ตั้งอยู่ตามที่อย่างนั้น ผมเข้าใจว่า
วัวตัวนี้จะพึงลุกขึ้นได้ ศีรษะหรือมือเท้าของ
คุณปู่มิได้ปรากฏเลย คุณพ่อนั่นเองมาร้อง-
ไห้อยู่ที่สถูปดิน เป็นคนไร้ความคิดมิใช่หรือ.
[709] เจ้ารดพ่อผู้เดือดร้อนยิ่งนักให้หายร้อน
ยังความกระวนกระวายของพ่อให้ดับได้สิ้น
เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟติดเปรียงให้ดับไป
ฉะนั้น เจ้ามาถอนลูกศรคือความโศกที่เสียบ
แน่นอยู่ในหทัยของพ่อออกได้แล้วหนอ เมื่อ